โรคติกส์ ภาวะกล้ามเนื้อกระตุกในเด็ก
- April 29, 2024
โรคติกส์ คือโรคที่เกิดขึ้นในช่วงวัยเด็ก มีอาการกล้ามเนื้อกระตุกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก กระพริบตาถี่ มีเสียงกระแอมในคอ กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือแขนขากระตุกท่าเดิมซ้ำๆ สัมพันธ์กับอาการทางจิตประสาท อาทิ วิตกกังวล ซนสมาธิสั้น พบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนี้
– กรรมพันธุ์ หรือการที่มีคนใกล้ชิดเด็กเป็นโรคนี้จนเด็กเกินพฤติกรรมเลียนแบบ
– เครียด กดดันจนเกินไป
– เคลื่อนไหวร่างกายน้อยไม่สอดคล้องกับวัยที่กำลังซุกซน
– อาหารการกินไม่สมดุล ทานขนมเยอะเกินไป น้ำเย็นน้ำแข็ง ของทอด
พลังในตัวเด็กมีมาก พร้อมจะวิ่งเล่น ปีนป่าย เพื่อปลดปล่อยพลัง ในทางกลับกันเด็กในสมัยนี้ถูกตรึงไว้ด้วยหน้าจอ ทำให้การเคลื่อนไหวน้อยลง พัฒนาการของร่างกายไม่สมบูรณ์ตามวัย และการที่เด็กอยู่ในสภาวะเครียดกดดัน หรือเหนื่อยจนเกินไป ก็ส่งผลเสียได้เช่นกัน ความเครียดนั้น มิได้มีผลเฉพาะภาวะจิตใจ หากแต่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อด้วย เมื่อกล้ามเนื้อเครียด จะหดเกร็งและเกิดการกระตุกที่ไม่สามารถควบคุมได้
ในทฤษฎีการแพทย์แผนจีน กล่าวถึงอวัยวะภายในที่เกี่ยวข้องคือ อวัยวะปอด อวัยวะตับ และ อวัยวะม้าม ทั้งสามอวัยวะนี้ทำงานสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น การรักษาจำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยอาการของแต่ละบุคคลโดยแพทย์แผนจีน เพื่อวางแผนการรักษา รวมถึงการให้ความร่วมมือของคนใกล้ชิด เพื่อประสิทธิผลที่มุ่งหวัง
การรักษา .. ใช้หัตถการฝังเข็มเป็นหลัก เพื่อประสิทธิภาพการไหลเวียนโลหิต ฟื้นฟูอวัยวะที่ทำงานพร่องไป มีส่วนช่วยให้เด็กมีสมาธิดีขึ้น คลายความวิตกกังวล
โดยปกติโรคนี้จะหายไปได้เองเมื่อเด็กโตขึ้น แต่มีบางส่วนที่ติดไปจนถึงตอนเป็นผู้ใหญ่ หากผู้ปกครองพบเห็นอาการนี้ ควรรีบรักษาก่อนจะสายเกินแก้ ถึงแม้โรคนี้จะไม่ได้อันตราย แต่ก็ส่งผลกับบุคลิกภาพ และมักสร้างบาดแผลทางใจได้ไม่น้อย เด็กบางคนถูกล้อเลียน หรือถูกคนในครอบครัวทักจนเสียความมั่นใจ ส่งผลต่อ self esteem ของเด็กในอนาคต
– หมอฟาง
- All Posts
- Article
โรคติกส์ คือโรคที่เกิดขึ้นในช่วงวัยเด็ก มีอาการกล้ามเนื้อกระตุกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก กระพริบตาถี่ มีเสียงกระแอมในคอ กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือแขนขากระตุกท่าเดิมซ้ำๆ สัมพันธ์กับอาการทางจิตประสาท อาทิ วิตกกังวล ซนสมาธิสั้น พบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง
ภาวะน้ำหนักเกิน(Overweight) เป็นภาวะที่สามารถพบได้มากขึ้นในสังคมปัจจุบัน ซึ่งภาวะนี้สามารถนำไปสู่โรคอ้วน(Obesity) ซึ่งสามารถสร้างภาวะทุพพลภาพอย่างอื่นตามมาได้ภายหลังหากไม่ตระหนักถึงอันตราย